ความรู้สัตว์เลี้ยง

ความรู้สัตว์เลี้ยง วิธีตรวจวินิจฉัย วิธีการรักษา

วัคซีนสำคัญสำหรับแมว

1. FVRCP คืออะไร ?

FVRCP เป็นวัคซีนรวมที่ช่วยป้องกันโรคร้ายแรง 3 ชนิด ได้แก่:

  • Feline Viral Rhinotracheitis (FVR): โรคหวัดแมวที่เกิดจากไวรัสเฮอร์ปีส์ ซึ่งทำให้แมวมีอาการน้ำมูกไหล จาม และติดเชื้อทางเดินหายใจ
  • Calicivirus (C): ไวรัสที่ทำให้เกิดแผลในปาก แผลที่ลิ้น และอาการปอดบวม
  • Panleukopenia (P): หรือที่เรียกว่า “ไข้หัดแมว” เป็นโรคร้ายแรงที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันและลำไส้ของแมว

2. Rabies คืออะไร ?Rabies หรือโรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อไวรัส และสามารถแพร่จากสัตว์สู่สัตว์ หรือจากสัตว์สู่คนได้ หากแมวติดเชื้อโรคนี้ อาการจะรุนแรงและอาจถึงแก่ชีวิต วัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่เพื่อสุขภาพของแมว แต่ยังช่วยป้องกันการแพร่ระบาดสู่คนด้วย

3. FeLV คืออะไร ?

FeLV หรือ Feline Leukemia Virus เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคลิวคีเมียในแมว ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคโลหิตจาง และมะเร็ง วัคซีน FeLV จึงช่วยป้องกันแมวจากการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ ซึ่งเป็นโรคที่อาจทำให้แมวเสียชีวิตได้

ตารางการฉีดวัคซีนสำหรับแมว

ช่วงวัยลูกแมว (2-7 เดือน)

2 เดือน

  • FVRCP (เข็มที่ 1): วัคซีนรวมป้องกันโรคไข้หัดแมว, โรคหวัดแมว และโรคลำไส้อักเสบ

    3 เดือน

  • FVRCP (เข็มที่ 2)

Rabies (เข็มที่ 1): วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่สามารถแพร่สู่คนได้

4 เดือน

  • FVRCP (เข็มที่ 3)
  • Rabies (เข็มที่ 2)
  • FeLV/FIV Test (เข็มที่ 1): ตรวจหาเชื้อไวรัสลิวคีเมียและเอดส์แมว


6 เดือน

  • FeLV/FIV Test (เข็มที่ 2)
  • FeLV (เข็มที่ 1): วัคซีนป้องกันไวรัสลิวคีเมียแมว


7 เดือน

  • FeLV (เข็มที่ 2)

ช่วงวัยโต (หลัง 1 ปีขึ้นไป)

หลังจากที่แมวได้รับวัคซีนครบในช่วงวัยลูกแมวแล้ว ควรฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อให้ภูมิคุ้มกันคงอยู่

วัคซีนที่ต้องฉีดทุกปี

  • FVRCP
  • Rabies
  • FeLV


การป้องกันเพิ่มเติมที่ควรทำเป็นประจำ

  • ทุก 1 เดือน: ป้องกันพยาธิหนอนหัวใจ (Heartworm) และให้ยาถ่ายพยาธิ (Dewormed)

ความสำคัญของการฉีดวัคซีนแมว
1. ป้องกันโรคติดต่อร้ายแรง – 
เช่น โรคไข้หัดแมว, โรคหวัดแมว และโรคพิษสุนัขบ้า
2. ลดอัตราการเสียชีวิตของแมว –
 โรคบางชนิด เช่น ลิวคีเมียแมว หากติดเชื้อแล้วอาจทำให้แมวเสียชีวิต
3. ปกป้องสุขภาพของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ – 
โรคบางชนิดสามารถแพร่กระจายจากแมวสู่คนได้
4. ลดค่าใช้จ่ายในการรักษา – 
การฉีดวัคซีนมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ

[ โปรแกรมวัคซีนในแมว จะมีวัคซีน 3 ชนิด ที่แนะนำให้ฉีด ]
 
1. วัคซีนรวมป้องกันไข้หัด-หวัดแมว: เริ่มฉีดที่อายุ 2 เดือน ในปีแรก ฉีด 3 เข็ม ห่างกันครั้งละ 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นฉีดปีละ 1 เข็ม
 
   2. วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า: เริ่มฉีดที่อายุ 3 เดือน ในปีแรก ฉีด 2 เข็ม ห่างกันครั้งละ 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นฉีดปีละ 1 เข็ม
 
   3. วัคซีนลิวคีเมีย: ก่อนจะฉีดวัคซีนชนิดนี้ ต้องได้รับการตรวจโรคลิวคีเมียก่อน 2 ครั้ง เริ่มตรวจครั้งแรกที่อายุ 4 เดือน และตรวจครั้งที่สอง ที่อายุ 6 เดือน หาก
 
       ผลตรวจเป็นลบทั้งสองครั้ง จึงสามารถฉีกวัคซีนได้ สำหรับโปรแกรมการฉีดวัคซีนชนิดนี้ ในปีแรก ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3-4 สัปดาห์  หลังจากนั้นฉีดปีละ 1 เข็ม 
 
      *นอกจากวัคซีนแล้วยังมีโรคที่จะต้องป้องกันอื่นๆ อีก เช่น โรคพยาธิหนอนหัวใจ โรคนี้มียุงเป็นพาหะ สามารถก่อโรคได้ทั้งในสุนัขและแมว ควรเริ่มป้องกันได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือนเป็นต้นไป ยาที่ใช้ป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจ ยังสามารถกำจัดเห็บ/หมัด/พยาธิภายในลำไส้(เป็นโรคติดต่อสู่คนเลี้ยงได้)/ไรในหู/ขี้เรื้อนรูขุมขน/ขี้เรื้อนแห้ง

โรคลำไส้อักเสบติดต่อ

      เกิดจากเชื้อพารโวไวรัสและโคโรน่าไวรัส สุนัขที่ติดเชื้อพาร์โวไวรัสจะซึม มีไข้ เบื่ออาหาร อาเจียนและท้องเสีย ในรายที่อาการรุนแรงมากจะถ่ายเป็นเลือดและมีกลิ่นคาว ส่วนสุนัขที่ติดเชื้อโคโรน่าไวรัส อาการที่แสดงจะคล้ายกับสุนัขที่ติดเชื้อพารโวไวรัสแต่ไม่รุนแรงเท่า อย่างไรก็ตาบอาการจะรุนแรงมากขึ้นหากติดเชื้อไวรัส 2 ตัวนี้พร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะในลูกสุนัข ซึ่งติดต่อโดยการสัมผัสอจจาระของสัตว์ป่วย ซึ่งอาการจะแสดงออกหลังสัมผัสเชื้อ 7-10 วัน

โรคไข้หัดสุนัข

      เป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรง เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ทำให้สุนัข แสดงอาการของโรคระบบทางเดินหายใจ มีน้ำบก ขี่ตา ซึ่ง ซึ่งมีใช้ บางรายติดเชื้อเข้าระบบประสาทจะมีอาการชัก กล้านเนื้อกระตุก การติดต่อผ่านทางน้ำมูก ขี้ตา น้ำลาย

โรคตับอักเสบ

    เป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกช่วงวัย โดยอาการจะจแรงในลูกสุนัขเกิดจากการติดเชื่อไวรัสผ่านทางการสัมผัสน้ำลาย อาจจะหรือปัสสาวะของสัตว์ป่วย ซึ่งทำให้มีโข้สูง ท้องเสีย และอาจพบจุดเลือดออกตามผิวหนัง

โรคพิษสุนัขบ้า

      เป็นโรคติดต่อร้ายแรงและจัดเป็นโรคสัตว์สู่คน โดยสัตว์ เลี้ยงลูกด้วยนมทุกตัวสามารถติดโรคนี้ได้ สาเหตุเกิดจาก เชื้อ Rabies Virus ซึ่งจะติดต่อผ่านทางน้ำลายของสัตว์ป่วย อาการของโรคอาจคล้ายอาการป่วยทั่วไป พฤติกรรมเปลี่ยน ขากรรไกรแข็ง กินน้ำกินอาหารไม่ได้ หรือแสดงอาการดูร้าย

โรคฉี่หนู (เลปโตสไปโรซิส)

      เป็นอีกโรคหนึ่งที่จัดเป็นโรคสัตว์สู่คน เกิดจากการติดเชื้อ แบคทีเรีย ผ่านการสัมผัสกับปัสสาวะของหนูหรือสัตว์ป่วย อาการจะมีไข้สูงขึ้น ตัวเหลือง เจ็บตามกล้ามเนื้อเมื่อจับคลำ

โรคหลอดลมอักเสบติดต่อ Kennel Cough

   เป็นกลุ่มอาการของโรคระบบกางเดินหายใจในสุนัข สาเหตุ เกิดจากการติดเชื่อไวรัสและแบคทีเรียผ่านการสูดดมเอาเชื้อในอากาศเข้าสู่ร่างกาย ทำให้สุนัขป่วย มีไข้ ไอ (เหมือนมีอะไรติดคอ) จาม มีน้ำมูก

โรคเฝ้าระวังในลูกหมา

เพราะลูกหมาน้อยยังมีภูมิต้านทานต่ำ ทําให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะติดโรคต่างๆ ได้มากมาย เราจึงควรรู้จักโรคยอดฮิตในลูกหมากันว่ามีโรคใดบ้าง เพื่อจะได้รู้ทันโรค รู้จักวิธีป้องกัน และรักษาได้อย่างถูกต้องในวันที่น้องหมาป่วย สําหรับโรคยอดฮิตที่มักพบบ่อยในลูกหมาน้อยได้แก่

1.โรคไข้หัดสุนัข (Canine Distemper)

เกิดจาก: เชื้อไวรัส
น้องหมากลุ่มเสี่ยง: ลูกหมาอายุ 3- 6 เดือน
อาการของโรค: ซึม เบื่ออาหาร ตามด้วยมีไข้สูง มีน้ำมูก ตาแดง มีน้ำตาและมีขี้ตาเกรอะกรัง ไอ รวมไปถึงอาจมีอาการท้องเสียและขาดน้ำร่วมด้วย โดยสิ่งที่สังเกตได้ง่ายเมื่อลูกสุนัขเป็นโรคนี้ คือฝ่าเท้าของลูกหมาจะหนาตัวขึ้นผิดปกติ และรุนแรงถึงมีอาการทางสมองและระบบประสาทร่วมด้วย เช่น ชัก เดินไม่ปกติ กระตุก
ความรุนแรงของโรค: ส่งผลต่อสมอง หรือระบบประสาท
การติดต่อของโรค: ติดต่อผ่านทางน้ำลาย การขับถ่าย การหายใจ และการจามได้อีกด้วย
การป้องกัน: เพราะเป็นโรคที่ไม่มีการรักษาโดยตรง ดังนั้นแนวทางการป้องกันจึงสําคัญที่สุด คือ พาน้องหมาไปฉีดวัคซีนอย่างถูกต้องตามคําแนะนําของสัตวแพทย์ คอยดูแลความสะอาด และให้อาหารสูตรลูกสุนัขที่เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
.

2.โรคลําไส้อักเสบ (Canine Parvovirus)

เกิดจาก: เชื้อไวรัส
อาการของโรค: ที่เห็นได้อย่างเด่นชัดคือ ท้องเสียอย่างรุนแรง ถ่ายเหลวพุ่งเป็นน้ำหรือเป็นเลือด อุจจาระมีกลิ่นเหม็นมาก พร้อมกับมีไข้ ซึม ขาดน้ำรุนแรง
ความรุนแรงของโรค: อันตรายถึงเสียชีวิตได้
การติดต่อของโรค: ติดต่อผ่านทางอุจจาระ และเชื้อที่ปนเปื้อนตามสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น พื้นกรง น้องหมาด้วยกัน หรือแม้กระทั่งมือคนที่เคยสัมผัสกับน้องหมาที่ติดเชื้อ
การป้องกัน: ฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ตามโปรแกรมวัคซีนอย่างเคร่งครัด ถ้าพบว่าลูกหมามีอาการท้องเสีย ให้รีบพาไปพบสัตวแพทย์ทันที
.

3.โรคกระดูกอ่อน (Rickets)

น้องหมากลุ่มเสี่ยง: ลูกหมาที่ได้รับแคลเซียมและฟอสฟอรัสไม่เพียงพอ ทําให้กระดูกพัฒนาไม่เต็มที่ และเปราะบางกลายเป็นโรคกระดูกอ่อน ซึ่งโดยทั่วไปลูกหมาน้อยต้องการแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าน้องหมาที่โตเต็มวัยถึง 3 เท่าทีเดียว
การป้องกัน: ให้อาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนสมดุล โดยเฉพาะสัดส่วนของแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่เหมาะสมแก่ลูกหมาน้อย แต่ก็ต้องระวังไม่ให้ได้รับแคลเซียม ฟอสฟอรัส และสารอาหารอื่นๆ มากเกินไป เพราะอาจทําให้มีปัญหาโครงสร้างผิดรูปได้เช่นกัน
 

4. โรคพิษสุนัขบ้า: แนวทางปฏิบัติเมื่อสัตว์เลี้ยงหรือคนถูกกัด

การป้องกันในสัตว์เลี้ยง
 
1.  ฉีดวัคซีนให้สัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ
      สุนัขและแมว :
           – เข็มแรก : อายุ 2-4 เดือน (ช่วงนี้ระบบภูมิคุ้มกันเริ่มทำงานเต็มที่)
           – เข็มที่ 2 : ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันระยะยาว
           – กระตุ้นทุกปี : ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนลดลงตามเวลา การฉีดซ้ำช่วยป้องกันการติดเชื้อ
           – เหตุผลสำคัญ : หากสัตว์ติดเชื้อ เสี่ยงตาย 100% และแพร่เชื้อสู่คนได้
      ปศุสัตว์และสัตว์อื่นๆ :
           – เริ่มฉีดเมื่ออายุ 3 เดือนขึ้นไป
           – ตัวอย่าง : โค กระบือ แพะ แกะ ควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการระบาดในฟาร์ม
 
2. ควบคุมประชากรสัตว์จรจัด
     ทำหมันสัตว์ :
           – ลดจำนวนสัตว์เร่ร่อนที่อาจเป็นพาหะนำโรค
           – ช่วยควบคุมการแพร่เชื้อในวงจรธรรมชาติ
     หลีกเลี่ยงอาหารคุมกำเนิด :
           – อาจทำให้สัตว์มีภาวะแทรกซ้อน เช่น มดลูกอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด
           – วิธีที่ดีกว่า : ร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อจับสัตว์จรจัดทำหมันและฉีดวัคซีน
 
 
ปฏิบัติเมื่อสัตว์เลี้ยงถูกสัตว์สงสัยเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด
1.  ล้างแผลทันที
      – วิธีทำ : ใช้ สบู่และน้ำสะอาด ล้างแผลแรงๆ นาน 10-15 นาที
·     – เหตุผล : เชื้อไวรัสถูกทำลายด้วยสารลดแรงตึงผิวในสบู่ ลดโอกาสเชื้อเข้าสู่ระบบประสาท 
 
2. พาไปพบสัตวแพทย์
     – แบ่งการดูแลตามสถานะวัคซีนของสัตว์ :
 
กลุ่ม สถานะวัคซีน การปฏิบัติ เหตุผล
1 ฉีดวัคซีนครบ กักบริเวณ สังเกตอาการ 45 วัน ตรวจสอบว่าสัตว์ติดเชื้อหรือไม่ แม้มีภูมิคุ้มกัน
2 ไม่เคยฉีดวัคซีน กักบริเวณอย่างเข้มงวด 4-6 เดือน และฉีดวัคซีนภายใน 96 ชั่วโมง เชื้ออาจฟักตัวนาน 6 เดือน ต้องป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อ
3 ฉีดวัคซีนไม่ครบ กักบริเวณ สังเกต 45 วัน หรือ 6 เดือน (หากเกินกำหนด) ประเมินความเสี่ยงจากประวัติวัคซีนที่ไม่ชัดเจน
4 ไม่ทราบประวัติ ตรวจภูมิคุ้มกันก่อนตัดสินใจ หลีกเลี่ยงการกักตัวนานโดยไม่จำเป็น
 
   – ผลร้ายหากละเลย : สัตว์อาจแพร่เชื้อให้คนและสัตว์อื่น หรือตายภายใน 7-10 วัน
 
 
ปฏิบัติเมื่อคนถูกสัตว์สงสัยเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด
1.  ล้างแผลทันที
       ขั้นตอน :
              – ล้างแผลด้วย น้ำสะอาด จำนวนมาก
              – ใช้ สบู่ถูแรงๆ เป็นเวลา 15 นาที
              – ใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน
        เหตุผล : ลดปริมาณเชื้อในแผลได้ >90%
2.  ไปพบแพทย์ด่วน
       ต้องได้รับวัคซีนภายใน 24 ชั่วโมง :
               – วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า : ฉีดทั้งหมด 4-5 เข็ม ตามโปรแกรม
               – อิมมูโนโกลบูลิน : ฉีดรอบแผลเพื่อบล็อคเชื้อทันที
       หากแผลลึก :
               – ห้ามเย็บแผลสนิท : แผลปิดสนิททำให้เชื้อเจริญเติบโตได้
               – ปล่อยแผลเปิด : ให้ออกซิเจนช่วยยับยั้งเชื้อ
               – ผลร้ายหากชะลอการรักษา : เมื่อเชื้อเข้าสู่ระบบประสาทส่วนกลาง ไม่มียารักษา ผู้ป่วยเสียชีวิตภายใน 7-10 วัน
 
 
ข้อควรรู้เพิ่มเติม
1. หลีกเลี่ยงสัตว์แปลกหน้า :
           – สัตว์ติดเชื้ออาจแสดงอาการ ไม่ชัดเจน เช่น ซึม ไม่กินอาหาร
           – สังเกตสัญญาณอันตราย : น้ำลายไหล กลืนลำบาก ตอบสนองไวต่อแสง/เสียง
2. รายงานสัตว์สงสัยป่วย :
           – แจ้ง กรมปศุสัตว์ (โทร 063-225-6888) หรือหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่
           – ช่วยตัดวงจรการระบาดและป้องกันผู้เสียชีวิตเพิ่ม
3. เจ้าของสัตว์ต้องรับผิดชอบ :
          – ผิดกฎหมายหากปล่อยสัตว์ไปกัดผู้อื่น (พ.ร.บ. คุ้มครองสัตว์ พ.ศ. 2557)
          – รับโทษทั้งทางแพ่งและอาญา
 
 
 เป้าหมายการกำจัดโรค
 ประเทศไทยมุ่งมั่นกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดภายในปี 2030 โดย :
         1. ฉีดวัคซีนครอบคลุม ≥80% ของสัตว์เลี้ยง 
         2. สร้างความตระหนักรู้ให้กับประชาชน
 
     การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้ เคร่งครัดและรวดเร็ว เป็นสิ่งสำคัญที่สุด! โรคพิษสุนัขบ้าไม่ใช่โรคที่รอได้ เพราะเมื่อแสดงอาการ ไม่มีทางรักษาหาย การป้องกันตั้งแต่ต้นทางด้วยการฉีดวัคซีนสัตว์เลี้ยง และการดูแลแผลถูกวิธีหลังถูกกัด คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย “ปลอดโรคพิษสุนัขบ้า” ตามแนวทางของ WHO และ OIE
 
[ โปรแกรมวัคซีนในสุนัข จะมีวัคซีน 2 ชนิด ที่แนะนำให้ฉีด ]
   1. วัคซีนรวม 5 โรค: เริ่มฉีดที่อายุ 2 เดือน ในปีแรก ฉีด 3 เข็ม ห่างกันครั้งละ 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้นฉีดปีละ 1 เข็ม
 
   2. วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า: เริ่มฉีดที่อายุ 3 เดือน ในปีแรก ฉีด 2 เข็ม ห่างกันครั้งละ 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นฉีดปีละ 1 เข็ม
 
นอกจากวัคซีนแล้วยังมีโรคที่จะต้องป้องกันอื่นๆ อีก เช่น โรคพยาธิหนอนหัวใจ โรคนี้มียุงเป็นพาหะ สามารถก่อโรคได้ทั้งในสุนัขและแมว ควรเริ่มป้องกันได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือนเป็นต้นไป ยาที่ใช้ป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจ ยังสามารถกำจัดเห็บ/หมัด/พยาธิภายในลำไส้(เป็นโรคติดต่อสู่คนเลี้ยงได้)/ไรในหู/ขี้เรื้อนรูขุมขน/ขี้เรื้อนแห้ง

ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคลิวคีเมีย

 
         วัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมียไวรัสในบางหน่วยงานได้จัดให้อยู่ในกลุ่มวัคซีนหลัก ทั้งนี้หากพื้นที่ที่แมวอยู่มีการระบาดของโรคอยู่มาก แนะนำให้สอบถามคุณหมอถึงความจำเป็นต่อการฉีดวัคซีนชนิดนี้
 
       โรคลิวคีเมียและโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในแมว เป็นไวรัสในกลุ่ม Retroviruses โดยโรคไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องสามารถติดต่อผ่านทางแผลที่ถูกแมวที่มีเชื้อกัด และแมวที่เป็นโรคลิวคีเมียมักจะติดโรคผ่านทางน้ำลาย (แผลถูกกัด การทำความสะอาดตัวให้แก่กันและกัน การใช้ชามน้ำชามอาหารร่วมกัน) ปัสสาวะ (ผสมพันธุ์) เลือด และน้ำนมจากแมวที่มีเชื้อตัวนี้อยู่ นั่นหมายความว่าแมวที่มีความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้คือแมวที่ถูกเลี้ยงปล่อยนอกบ้านและกลุ่มแมวที่มีแมวเป็นโรคลิวคีเมียเป็นสมาชิกอยู่นั่นเอง 
 
 
      Feline Leukemia Virus (FeLV) ซึ่งไวรัสจะเข้าทำลายจนทำให้ภูมิคุ้มกันเสียหาย หากเป็นโรคแล้วก็ไม่สามารถรักษาได้หายขาด ทำได้เพียงการรักษาตามอาการ สามารถติดต่อจากแม่แมวไปยังลูกแมวได้ ผ่านน้ำลายและสิ่งคัดหลั่ง ช่วงแรกของโรคอาจสังเกตเห็นว่าเริ่มมีอาการซึม และพบว่าลูกแมวท้องเสีย จากนั้นอาจมีอาการอื่น ๆ ตามมา เช่น ตัวซีดเหลือง ไม่มีแรง ขนหยาบ น้ำหนักตัวลด ลูกแมวท้องเสียเรื้อรัง ช่องปากอักเสบ
 

วัคซีนลิวคีเมียและเอดส์แมว

    เมื่อทราบข้อมูลของโรค การติดต่อ อาการทางคลินิก และวิธีการจัดการแล้ว ครั้งนี้จึงจะมาบอกวิธีการป้องกันไม่ให้น้องแมวของเราปลอดภัยจากโรคนี้กันนะคะ วิธีที่เราจะป้องกันได้นั่นก็คือ การทำวัคซีนนั่นเอง
 
     วัคซีนลิวคีเมีย ปัจจุบันนี้ถูกจัดให้เป็นหนึ่ง “วัคซีนหลัก” แล้ว ซึ่งน้องแมวนั้น จะสามารถเริ่มทำวัคซีนลิวคีเมียได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือน ค่ะ แต่ก่อนจะทำ ควรมีการตรวจหาเชื้อด้วย test kit จำนวน 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน ถ้าหากผลตรวจหาเชื้อลิวคีเมียเป็นลบทั้ง 2 ครั้ง จะสามารถทำวัคซีนได้เลยค่
 
        การทำวัคซีนลิวคีเมีย จะฉีดทั้งหมด 2 เข็ม และจากนั้นก็เป็นวัคซีนประจำปีค่ะ
แนะนำว่าน้องแมวที่ไม่ได้เป็นลิวคีเมียทุกตัว ควรทำวัคซีนนะคะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ (ถึงแม้ว่าจะอยู่ภายในบ้านตัวเดียว แต่โอกาสทีอาจจะมีแมวตัวอื่นแอบเข้ามาในบ้านแล้วมาทำให้น้องแมวของเราติดเชื้อก็เป็นไปได้ ดังนั้น กันไว้ดีกว่าแก้ดีกว่าแมวที่ติดเชื้อเอดส์แมวสามารถทำวัคซีนลิวคีเมียได้ ทั้งนี้ แม้ว่าจะทำวัคซีนแล้ว แต่ก็อาจจะป้องกันได้ไม่ครบ 100% ซึ่งควรจะมีการจัดการอื่นๆ ร่วมด้วย อย่างที่แนะนำไว้ก่อนหน้านี้แล้วนั่นเอง
 
        วัคซีนเอดส์แมว เป็นวัคซีนทางเลือก จะแนะนำให้ทำเฉพาะในแมวที่มีกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น (กลุ่มเสี่ยง ในที่นี้ คือ  เลี้ยงนอกบ้าน มีโอกาสสัมผัสกับแมวตัวที่เป็น , อาศัยร่วมกับแมวที่ป่วยเป็นเอดส์แมว) เหตุผลที่แนะนำให้ทำในกลุ่มเสี่ยง เนื่องจากว่า การฉีดวัคซีนนั้นจะมีผลกับการตรวจด้วย Test kit ที่เป็นการตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันนั่นเอง
 
        การทำวัคซีนเอดส์แมว จะฉีดทั้งหมด 2 เข็ม และจากนั้นก็เป็นวัคซีนประจำปี
 
ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันโรคต่างๆ สนับสนุนให้ทำวัคซีนกันเป็นประจำทุกปี
 
เจ้าของบางท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วในกรณีไหนบ้าง ที่เราจะเลื่อนการทำวัคซีนไปก่อน นั้นได้แก่ แมวที่กำลังป่วยหนัก หรือ กำลังอยู่ในช่วงที่ทานยารักษาโรคอยู่นั่นเอง
 
       ทั้งนี้ แมวสูงอายุ หรือ แมวที่ป่วยเป็นโรคแต่สามารถควบคุมอาการได้ เช่น โรคเบาหวานที่คุมระดับน้ำตาลได้ หรือโรคไต ที่ค่าไตคงที่ และไม่แสดงอาการทางคลินิกที่รุนแรง เหล่านี้สามารถทำวัคซีนตามโปรแกรมปกติได้เลย
 

สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในแมว

ไวรัส FeLV สามารถติดต่อได้หลายทาง เช่น

  • การสัมผัสน้ำลาย น้ำมูก หรือเลือดจากแมวที่ติดเชื้อ
  • การใช้ชามอาหารหรือกระบะทรายร่วมกัน
  • การเลียขนกันระหว่างแมวที่มีเชื้อกับแมวที่ยังไม่ติดเชื้อ
  • การติดต่อจากแม่แมวที่ติดเชื้อไปยังลูกแมวตั้งแต่ในครรภ์ หรือขณะให้นม
    โดยเฉพาะลูกแมวที่มีภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง จะมีโอกาสติดเชื้อได้สูงมากกว่าการติดเชื้อในแมวโต

อาการที่พบได้ในแมวที่ติดเชื้อ FeLV

ช่วงแรกหลังติดเชื้อ แมวอาจยังดูสุขภาพดีอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เชื้อไวรัสจะเริ่มกดระบบภูมิคุ้มกันและทำลายเซลล์เม็ดเลือดต่าง ๆ ส่งผลให้แมวเริ่มแสดงอาการดังนี้

  • อ่อนเพลีย ซึม ไม่ร่าเริง
  • น้ำหนักลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • เบื่ออาหาร หรือกินได้น้อยลง
  • ขนหยาบแห้ง ดูไม่เงางาม
  • เหงือกซีด ตัวซีดหรือเหลือง
  • มีไข้เรื้อรัง
  • ช่องปากอักเสบ มีกลิ่นปาก
  • ท้องเสียเรื้อรัง โดยเฉพาะในลูกแมว
  • ต่อมน้ำเหลืองโต
  • ภาวะโลหิตจาง
  • ภาวะมีของเหลวสะสมในช่องอกหรือช่องท้อง

ในบางราย แมวอาจพัฒนาไปสู่การเป็นมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Lymphoma) หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดอื่นๆ ได้อีกด้วย

โรคร่วมที่พบได้บ่อยในแมวติดเชื้อ FeLV

เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของแมวติดเชื้อ FeLV ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ทำให้แมวมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคอื่นๆ ได้ง่าย เช่น

  • โรคมะเร็งชนิดต่างๆ (เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง)
  • โรคโลหิตจางเรื้อรัง
  • โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
  • การอักเสบของอวัยวะภายใน เช่น ไต ตับ และลำไส้
  • ปัญหาเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ เช่น ภาวะเป็นหมัน หรือลูกแมวเสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์

การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในแมวต้องอาศัยการตรวจเลือดโดยเฉพาะ ได้แก่

  • การตรวจหาเชื้อไวรัส FeLV โดยใช้ชุดตรวจแบบรวดเร็ว (Snap Test)
  • การตรวจเลือด CBC เพื่อดูความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด
  • การตรวจทางชีวเคมีในเลือด เพื่อประเมินการทำงานของอวัยวะต่างๆ
  • การตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจน้ำในช่องอก, การเอ็กซ์เรย์ หรืออัลตราซาวด์

หากสงสัยว่าแมวมีความเสี่ยงติดเชื้อ FeLV ควรนำมาตรวจสุขภาพกับสัตวแพทย์โดยเร็ว

แนวทางการรักษาและการดูแลแมวติดเชื้อ

แม้ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา FeLV ให้หายขาด แต่การดูแลและรักษาตามอาการสามารถช่วยยืดอายุขัยและทำให้แมวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ โดยมีแนวทางดังนี้

  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ด้วยการใช้ยากระตุ้นภูมิ
  • ป้องกันการติดเชื้อเพิ่มเติม โดยการควบคุมสิ่งแวดล้อมให้สะอาด และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแมวตัวอื่น
  • การรักษาโรคแทรกซ้อน เช่น การให้ยาปฏิชีวนะในกรณีติดเชื้อแบคทีเรี
  • การให้อาหารเสริมบำรุงสุขภาพ เช่น วิตามินต่าง ๆ เพื่อเสริมภูมิต้านทาน
  • การรักษาประคับประคองอาการตามระบบต่าง ๆ เช่น การให้ยาลดการอักเสบ หรือการดูแลระบบทางเดินอาหาร

สัตวแพทย์จะเป็นผู้วางแผนการรักษาอย่างใกล้ชิดในแต่ละราย เพื่อให้แมวสามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพที่สุด

การป้องกันโรค FeLV

การป้องกันยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่สุด โดยสามารถทำได้ดังนี้

  • การฉีดวัคซีนป้องกัน FeLV ซึ่งสามารถเริ่มได้ตั้งแต่ลูกแมวอายุประมาณ 8-9 สัปดาห์
  • ตรวจ FeLV ก่อนนำแมวใหม่เข้าบ้าน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้
  • หลีกเลี่ยงการให้แมวออกไปข้างนอก เพื่อลดความเสี่ยงสัมผัสเชื้อ
  • ดูแลสุขอนามัยที่ดี เช่น ล้างมือก่อน-หลังสัมผัสแมว และทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
  • ให้อาหารและน้ำดื่มที่สะอาด เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีตั้งแต่พื้นฐาน

    สรุป
    โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในแมว หรือการติดเชื้อไวรัส FeLV เป็นโรคที่มีความรุนแรง และสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตแมวได้อย่างมาก ดังนั้น Pet Parents จึงควรให้ความสำคัญกับการป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน ตรวจสุขภาพประจำปี และดูแลสุขภาพทั่วไปอย่างใกล้ชิด หากสงสัยว่าแมวของคุณมีความเสี่ยงหรือติดเชื้อ ควรรีบพาไปพบสัตวแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม 

    หมายเหตุ:
    บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนการวินิจฉัยหรือการรักษาจากสัตวแพทย์ได้ หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อเราเพื่อขอคำปรึกษาได้ค่ะ ยินดีให้บริการ

โรคใตในสัตว์เลี้ยง เมื่อมีอาการเหล่านี้ควรรีบพาไปหาหมอก่อนสาย

 
       ไต เป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่ขับของเสียภายในเลือดและร่างกายออกมาในรูปของปัสสาวะ และช่วยในการรักษาสมดุลของน้ำและแร่ธาตุในร่างกาย ภาวะที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับไตจนทำให้ไตทำงานผิดปกติ จะเป็นภาวะที่ก่อให้เกิด ‘โรคไต’ ซึ่งโดยส่วนมากกว่าสัตว์จะแสดงอาการบ่งชี้รุนแรงถึงการทำงานผิดปกติของไตก็ต่อเมื่อไตสูญเสียการทำงานไปแล้วถึง 75% ดังนั้นจึงควรตรวจพบโรคแต่เนิ่น ๆ เพื่อรีบทำการรักษา
 
ภาวะไตวาย แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
 
          ไตวายเฉียบพลัน เป็นภาวะที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วฉับพลัน เช่น ภาวะขาดน้ำ ภาวะช็อค การเสียเลือดมาก ความเครียดจากการผ่าตัด การได้รับสารพิษ เป็นต้น ภาวะไตวายเฉียบพลัน หากได้รับการรักษาให้หายได้ทัน ไตจะสามารถกลับมาทำงานเป็นปกติได้ แต่ถ้ารักษาไม่ทันจากที่เป็นภาวะไตวายเฉียบพลันก็จะกลายเป็นประเภทต่อไป ภาวะไตวายเรื้อรัง เป็นภาวะที่เกิดจากระบบอื่น ๆ ในร่างกายที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อไตทีละน้อย หรืออาจเกิดจากภาวะไตวายเฉียบพลันที่ไม่ได้รับการรักษา ตลอดจนพันธุกรรมหรือความบกพร่องด้านภูมิคุ้มกันและโภชนาการ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนทำให้สภาพการทำงานของไตเกิดความผิดปกติจนเกิดเป็นภาวะไตวายเรื้อรัง ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
 
       สำหรับลักษณะอาการนั้น โดยปกติแล้วในโรคไตระยะแรก ๆ อาการของโรคจะยังไม่ปรากฏ จึงจะไม่มีอาการผิดปกติที่แสดงให้เห็นชัดเจน แต่มักจะมีอาการบ่งชี้ 8 ข้อดังนี้ ที่สามารถเป็นที่สังเกตได้
 
– ซึม นอนทั้งวัน ไม่ร่าเริง ไม่เล่นเหมือนเดิม
– เบื่ออาหาร กินลดลง หรือเลือกกินอาหารมากขึ้น
– อาเจียนบ่อย
– มีกลิ่นปาก เหมือนมีกลิ่นปัสสาวะออกจากปาก หรือมีแผลเหมือนร้อนในที่เหงือก
– เหงือกอักเสบ หรือเหงือกซีด
– ปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ มีเลือดปน หรือฉี่น้อย บางรายมีอาการกินน้ำมากปัสสาวะมากร่วมด้วย
– ร่างกายซูบผอม น้ำหนักลดลงค่อนข้างเร็ว
– มีอาการชักร่วมด้วย หากโรคเข้าสู่ระยะรุนแรง
 
          ภาวะไตวายในสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นภาวะไตวายเฉียบพลันหรือเรื้อรังจะมีอาการที่ค่อนข้างเหมือนกัน แต่จะไม่แสดงออกหากเป็นในระยะแรก ดังนั้นควรนำสัตว์เลี้ยงไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อเพิ่มโอกาสในการตรวจพบโรคและทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที หรือหากสังเกตเห็นอาการบ่งชี้ข้างต้น  ก็ควรรีบนำสัตว์เลี้ยงมาพบแพทย์ทันทีเพื่อทำการวินิจฉัยต่อไป

พยาธิหนอนหัวใจภัยร้ายใกล้สัตว์เลี้ยงของคุณ

     โรคพยาธิหนอนหัวใจ เเค่ได้ยินชื่อเจ้าของหลายคนคงจะคุ้น ๆ กันเเน่ เนื่องจากเป็นโรคที่สัตวแพทย์มักจะพูดถึงเวลาพาสุนัขหรือเเมวไปหาหมอ ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงความสำคัญเเละความอันตรายของโรคนี้กันว่าทำไมสัตวแพทย์ถึงชอบย้ำเตือนให้ป้องกันการเกิดโรคนี้

เกิดจากอะไร? ติดต่อได้อย่างไร?

เกิดจากพยาธิที่ชื่อว่า Dirofilaria immitis ซึ่งมียุงเป็นพาหะนำโรค
 
     โดยวงจรการเกิดโรคเริ่มจากสุนัขตัวที่เป็นโรคจะมีตัวอ่อนระยะที่ 1 อยู่ภายในตัว เมื่อยุงมากัดสุนัขตัวนี้ก็จะได้รับตัวอ่อนไป เเละเกิดการพัฒนาจนเป็นตัวอ่อนระยะที่ 3 เเละเมื่อยุงตัวนี้ไปกัดสุนัขที่ไม่เคยเป็นโรคมาก่อน ก็จะส่งผ่านตัวอ่อนระยะที่ 3 ไป เเละเกิดการพัฒนาเป็น ตัวอ่อนระยะที่ 4 เเละตัวเต็มวัยตามลำดับ โดยใช้เวลาประมาณ 6-7 เดือน เเละตัวเต็มวัยของพยาธิชนิดนี้สามารถอยู่ได้นานถึง 5-7 ปี
 
       พยาธิตัวเต็มวัยจะอยู่ในหลอดเลือดที่ออกจากหัวใจไปที่ปอด (pulmonary atery) ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายเคืองเเละการอักเสบของหลอดเลือด ทำให้โครงสร้างของหลอดเลือดเปลี่ยนแปลงไป เกิดการลอกหลุดของชั้นเยื่อบุหลอดเลือด เหนี่ยวนำให้เกิดการเข้ามาของเกร็ดเลือด ทำให้เกิดการตีบเเคบเเละขดงอของ pulmonary artery ซึ่งกระบวนการนี้จะเริ่มเกิดหลังจากที่มีตัวเต็มวัยของพยาธิหนอนหัวใจอยู่ในหลอดเลือด 3-4 สัปดาห์
 
      หากเริ่มมีจำนวนของพยาธิหนอนหัวใจมากขึ้น อาจจะทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ส่งผลทำให้เกิดความเสียหายต่อปอดเเละหัวใจ เกิดภาวะหัวใจวายได้
 
     เเละถ้าพยาธิเริ่มเกิดการตาย เศษซากของมันก็จะล่องลอยไปในเส้นเลือดเเละเหนี่ยวนำให้เกิดการอุดตันในปอดได้อีกด้วย

ความเสี่ยงในการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจ

     สุนัขที่มักจะเป็นโรคนี้มักอยู่ในช่วงอายุ 4-8 ปี เเละจากงานวิจัยพบว่าเพศผู้จะเกิดการติดโรคได้มากกว่าเพศเมียถึง 2-4 เท่า เเละมักพบในสุนัขพันธุ์ใหญ่ที่เลี้ยงนอกบ้าน ไม่ได้ป้องกันพยาธิหนอนหัวใจเป็นประจำ โดยอาการของสุนัขคือ
 
อาการที่พบ คือ 
 
– ไม่ทนต่อการออกกำลังกาย
– เหนื่อยง่าย หายใจลำบาก
– ท้องกาง
– ไอเรื้อรัง
– น้ำหนักลด หรือเป็นลม
 
วิธีการตรวจวินิจฉัย
 
การวินิจฉัยโรคพยาธิหนอนหัวใจทำได้โดย
1. ใช้เลือดสดดูผ่านทางกล้องจุลทรรศน์ เพื่อหาตัวอ่อนพยาธิหนอนหัวใจในกระแสเลือด
 
2. ใช้ชุดทดสอบหาภาวะการติดเชื้อของโรคพยาธิหนอนหัวใจ เป็นการตรวจวิเคราะห์ทางอิมมูโนโครมาโตกราฟฟี่  เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุด เนื่องจากสามารถวินิจฉัยโรคได้ทันที มีความแม่นยำสูง ทำให้สัตวแพทย์วางแผนการดูแลหรือรักษาได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที
 
3.ตรวจด้วยเอ็กซเรย์ วิธีนี้จะใช้ดูภาพเงาของขนาดหลอดเลือดที่อยู่ในช่องอก และขนาดของหัวใจ 
 
4.ตรวจด้วยอัลตราซาวด์ วิธีนี้สามารถมองเห็นภาพพยาธิหนอนหัวใจที่อยู่ในห้องหัวใจของสัตว์ป่วยได้
 
การรักษา
การรักษาสามารถเเบ่งเป็นการรักษาทางยาในกรณีที่มีจำนวนของพยาธินอนหัวใจไม่เยอะมาก โดยแผนการรักษา ดังนี้
 
      ในวันเเรกสัตวแพทย์จะให้ยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจ เพื่อฆ่าพยาธิหนอนหัวใจตัวอ่อน เเละจะให้ยาฏิชีวนะ คือ Doxycycline เพื่อฆ่าเชื้อเเบคทีเรียที่ชื่อว่า วูลบาเคีย (Wolbachia) ซึ่งเป็นเเบคทีเรียที่มีความจำเป็นในการดำรงค์ชีวิตของพยาธิหนอนหัวใจ โดยระยะเวลาในการให้คือ 4 สัปดาห์ (วันที่ 1-30)
 วันที่ 31 จะให้ยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจครั้งที่ 2 ต่ออีก 1 เดือน
 
 วันที่ 61 จะมีการให้ยาฆ่าพยาธิตัวเต็มวัยคือ melarsomine ฉีดผ่านทางกล้ามเนื้อโดยจะให้ 3 เข็ม ห่างกัน 1 เดือนเเละ 1 วันตามลำดับ
 
30 วันหลังจากให้ยาฆ่าพยาธิเข็มสุดท้ายจะมีการตรวจหาพยาธิหนอนหัวใจอีกครั้ง โดยใช้วิธี modified Knott test หากไม่พบเเล้ว ให้ตรวจหาการติดพยาธิหนอนหัวใจซ้ำอีกครั้งด้วยการใช้ antigen test kit หลังจากให้ยาฆ่าพยาธิตัวเต็มวัยเข็มสุดท้ายไปเเล้ว 9 เดือน
 
 
       สำหรับในกรณีที่พบว่าสุนัขป่วยที่มีจำนวนพยาธิหัวใจปริมาณมาก ร่วมกับการเกิดพยาธิสภาพของหัวใจ ปอด ตับ ทำให้ไม่สามารถรักษาแบบการใช้ยาอย่างเดียวได้ เพราะสัตว์มีความเสี่ยงและอาจเสียชีวิตจากการให้ยาฆ่าพยาธิตัวแก่ จึงจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด โดยการเปิดหลอดเลือดดำที่บริเวณคอและใช้เครื่องมือช่วยในการนำพยาธิหัวใจออกมา ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้อาจไม่สามารถเอาจำนวนพยาธิออกได้ทั้งหมด แต่จะช่วยลดพยาธิสภาพและการอุดตันของพยาธิตัวเต็มวัยที่อยู่ในหัวใจหรือหลอดเลือดที่ปอด ทำให้สัตว์ป่วยมีอาการดีขึ้นก่อนที่จะทำการรักษา พยาธิตัวเต็มวัยด้วยวิธีอื่นต่อไป
 
       จะเห็นได้ว่าเมื่อสุนัขหรือเเมวเกิดการติดโรคพยาธิหนอนหัวใจเเล้ว ส่งผลต่อสุขภาพค่อนข้างมากเเละอาจเหนี่ยวนำให้เกิดการเสียชีวิตได้อีกด้วย เเละการรักษากินเวลาค่อนข้างนานเเละมีความเสี่ยงในการเกิดการอุดตันของเส้นเลือดในปอดค่อนข้างง่าย
 
      ดังนั้นการป้องกันเเละสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการเกิดโรคนี้ เเละทางที่ดีสุนัขหรือเเมวควรได้รับการตรวจร่างกายอย่างน้อยปีละครั้ง
 
 
วิธีการป้องกันพยาธิหนอนหัวใจ
 
     ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการป้องกันเห็บหมัดมากมาย ซึ่งบางชนิดสามารถป้องกันพยาธิหนอนหัวใจได้ด้วย เเต่บางชนิดก็ไม่สามารถป้องกันได้ บทความนี้จะมาอธิบายถึงผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ป้องกันพยาธิหนอนหัวใจได้ เเละข้อดีข้อเสียของเเต่ละชนิด
 
ผลิตภัณฑ์รูปแบบยาฉีด
     เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีตัวยา Ivermectin ซึ่งเป็นยาที่ขึ้นทะเบียนเพื่อใช้ในการป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจในรูปเเบบยากิน เเต่ในปัจจุบันมีการใช้ในรูปแบบยาฉีดซึ่งเป็นการใช้ยานอกเหนือฉลาก การใช้ยาตัวนี้ต้องระวังในสุนัขที่มีพยาธิหนอนหัวใจอยู่เเล้ว การฉีดยาชนิดนี้เข้าไปอาจทำให้พยาธิหนอนหัวใจตัวอ่อนเกิดการตายอย่างรวดเร็ว เเละเหนี่ยวนำให้สุนัขเกิดการช็อคได้ ดังนั้นในการใช้ครั้งเเรกจำเป็นต้องมีการตรวจยืนยันว่าไม่มีการติดพยาธิหนอนหัวใจ เเละข้อควรระวังอีกอย่าง คือ การใช้ในสุนัขที่มีอายุมาก เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น อาการทางระบบประสาท ม่านตาขยาย ชัก เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งตัวยาคือตัวยา Moxidectin ที่อยู่ในรูปเเบบยาฉีด ซึ่งสามารถออกฤทธิ์ได้ยาวนาน 6-12 เดือน
 
ผลิตภัณฑ์รูปเเบบยาหยอดหลัง
     ซึ่งมีหลากหลายผลิตภัณฑ์และหลากหลายตัวยา ตัวอย่างเช่น ตัวยา Selamectin ที่มีคุณสมบัติในการกำจัดตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจ และยังสามารถป้องกันปรสิตภายนอกเเละพยาธิภายในร่างกาย เช่น เห็บ หมัด ไร พยาธิตัวกลม พยาธิปากขอได้อีกด้วย หรือตัวยา Moxidectin ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีตัวยา Moxidectin มักมีการเพิ่มตัวยา Imidacloprid ลงไปด้วยเพื่อเพิ่มการป้องกันกำจัดหมัด เเละไร
 
ผลิตภัณฑ์ในรูปเเบบยากิน
     เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของตัวยา Ivermectin หรือมีองค์ประกอบของตัวยา Milbemycin oxime ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของตัวยา Milbemycin oxime มักจะมีตัวยาออกฤทธิ์อีกหนึ่งตัวที่ใส่คู่กันเพื่อเพิ่มการป้องกันให้ได้ทั้งปรสิตภายนอก เห็บ หมัด ไรในหู ไรขี้เรื้อนเปียก เเละไรขี้เรื้อนเเห้ง
 
      นอกจากนี้…เนื่องจากการติดพยาธิหนอนหัวใจมีพาหะที่สำคัญคือ ยุง ดังนั้นการป้องกันยุงก็เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันการติดพยาธิหนอนหัวใจในสุนัขและแมว

ไรในหูคืออะไร?

       ไรชนิดนี้อาศัยอยู่ในรูหูของกระต่าย กัดกินน้ำเหลืองและทำให้เกิดการอักเสบ สะสมเป็นขี้หูแข็งสีแดงหรือน้ำตาล หากปล่อยไว้ อาจลามออกมาที่ผิวหนังใบหน้า และบางกรณีรุนแรงจนเกิดอาการทางระบบประสาท
 
กระต่ายติดไรในหูได้อย่างไร?
1️⃣ การสัมผัสโดยตรง
 
จากแม่สู่ลูก
จากกระต่ายที่ติดโรคตัวหนึ่งไปยังอีกตัว
2️⃣ การติดเชื้อจากสิ่งแวดล้อม
 
ไรสามารถตกค้างในกรง พื้น ที่นอน หรืออุปกรณ์เลี้ยง
หากไม่ได้ทำความสะอาดสม่ำเสมอ กระต่ายตัวใหม่อาจติดได้ง่าย
อาการของกระต่ายที่เป็นไรในหู
🟢 ระยะเริ่มต้น
 
สบัดหัวบ่อย
เกาหูผิดปกติ
ขนร่วงรอบใบหู
มีสะเก็ดขี้หูหรือคราบสีแดง/น้ำตาลในรูหู
🔴 ระยะรุนแรง
 
หัวเอียง เดินเซ
สูญเสียการทรงตัว
ชัก หรือไม่ยอมกินอาหาร
⚠ หากลุกลามไปถึงหูชั้นใน อาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและรักษายากขึ้น
 
วิธีรักษาไรในหูกระต่าย
ควรพาไปพบสัตวแพทย์ทันที เพื่อขูดตรวจสะเก็ดหู และเริ่มการรักษาอย่างปลอดภัย
 
🔹 รูปแบบการรักษา
 
1️⃣ การฉีดยา
 
ฉีดกำจัดไรทุก 14 วัน ติดต่อกัน 2–3 ครั้ง
2️⃣ การหยดยา
 
หยดบริเวณหลังคอ ทุก 14 วัน เช่นเดียวกับการฉีดยา
มักใช้ยากลุ่มเดียวกับยาหยัดเห็บหมัดในสัตว์เลี้ยง
❗️ข้อควรระวัง:
 
🚫 ห้ามแคะหรือแกะสะเก็ดหู เพราะอาจทำให้กระต่ายเจ็บ หูฉีก หรืออักเสบมากขึ้น
สะเก็ดจะหลุดเองภายใน 1–2 สัปดาห์หลังเริ่มรักษา
วิธีป้องกันไรในหูกระต่าย
✅ ทำความสะอาดกรงและอุปกรณ์เป็นประจำ
✅ แยกกระต่ายป่วยออกจากกระต่ายปกติ
✅ สังเกตพฤติกรรม เช่น การเกาหู สะบัดหัว หรือขนร่วง
✅ ตรวจสุขภาพหูอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
 
สรุป: รู้เร็ว รักษาเร็ว = ปลอดภัย
ไรในหูเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ สามารถรักษาให้หายขาดได้
การสังเกตอาการและพาไปหาหมอตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยลดความเจ็บปวดและภาวะแทรกซ้อน
หลีกเลี่ยงการรักษาเองโดยไม่ปรึกษาสัตวแพทย์

เห็บ (Ticks)

แหล่งอาศัย : สิ่งแวดล้อมทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณพื้นดิน พื้นหญ้า และสวน สามารถติดได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด โดยเฉพาะสุนัขและแมว

พบได้ : ตามสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะบริเวณพื้นดิน พื้นหญ้า และสวน รวมถึงบนตัวของสุนัข โดยพบการระบาดมากในสุนัขที่เลี้ยงปล่อย เลี้ยงร่วมกันหลายตัว และไม่ได้รับการป้องกันปรสิตอย่างสม่ำเสมอ

ติดสุนัขโดย : เมื่อสุนัขออกนอกบ้าน โดยเห็บจะไต่ขึ้นตัวสุนัข แล้วใช้ปากกัดเพื่อดูดเลือด ตลอดจนยึดเกาะกับร่างกายของสุนัข 

ผลร้ายกับสุนัข : ก่อให้เกิดอาการคัน ผิวหนังระคายเคือง เกิดการอักเสบ ในรายมีเห็บเกาะร่างกายเป็นจำนวนมากเป็นระยะเวลานาน อาจก่อให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ นอกจากนี้เห็บยังเป็นพาหะของโรคพยาธิเม็ดเลือดหลายชนิด โดยติดผ่านทางเห็บดูดเลือด หรือสุนัขกินเห็บเข้าไป ซึ่งโรคนี้เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหาสุขภาพซึ่งส่งผลเสียทำให้สุนัขเสียชีวิต

ข้อมูลทั่วไป

เห็บ คือปรสิตที่สามารถพบได้ในธรรมชาติ มีมากมายหลายชนิด แต่ชนิดที่สามารถพบได้บ่อยในสุนัขคือเห็บสุนัขสีน้ำตาล (brown dog tick) ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Rhipicephalus sanguineus เห็บชนิดนี้เป็นปรสิตที่พบการแพร่ระบาดเป็นอย่างมากในประเทศไทยทั้งในเขตเมือง และเขตต่างจังหวัด สามารถพบได้ทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศที่อยู่ในภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ขนาดตัวของเห็บมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละระยะ โดยรูปร่างของเห็บจะมีขาทั้งหมด 8 ขา มีส่วนของลำตัวซึ่งมีขนาดใหญ่ มีส่วนของหัวขนาดเล็ก สังเกตได้ไม่ชัดเจน แต่จะมีปากยื่นออกมาจากส่วนหัว โดยเห็บจะใช้ปากนี้เจาะดูดเลือดจากร่างกายของสุนัข โดยปากของเห็บจะหลั่งสารซึ่งทำให้เลือดแข็งตัวช้าลงเพื่อช่วยให้สามารถดูดเลือดได้นานมากยิ่งขึ้น

    วงจรชีวิตของเห็บมีการผลัดเปลี่ยนของถิ่นที่อยู่อาศัยหลายครั้ง โดยจะขึ้นลงระหว่างบนร่างกายของสุนัขและสิ่งแวดล้อมเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปตามแต่ละระยะ โดยวงจรชีวิตของเห็บแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะไข่ ระยะตัวอ่อน ระยะตัวกลางวัย และระยะตัวเต็มวัย

    ระยะไข่ (egg) : เห็บเพศเมียจะวางไข่ในสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะบริเวณพื้นดิน หรือซอกมุมต่าง ๆ ของบริเวณบ้าน โดยเห็บตัวเต็มวัยหนึ่งตัวสามารถวางไข่ได้สูงถึง 4,000 ฟอง ซึ่งไข่เหล่านี้จะฟักได้ดีในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงและอากาศร้อน ทั้งนี้ไข่จะใช้เวลาประมาณ 17-30 วันในการฟักตัว (ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม) และฟักออกมาเป็นตัวอ่อนต่อไป

    ระยะตัวอ่อน (larva) : เห็บที่เพิ่งฟักตัวออกจากไข่จะยังคงมีรูปร่างไม่สมบูรณ์ (มี 6 ขา) โดยตัวอ่อนระยะนี้จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว พวกมันจะเคลื่อนที่เข้าหาตัวของสุนัขเพื่อดูดเลือดเป็นอาหาร ขั้นตอนนี้จะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 วัน จากนั้น เห็บระยะตัวอ่อนจะเคลื่อนที่ออกจากสุนัขกลับสู่สิ่งแวดล้อม เพื่อหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการเปลี่ยนตัวเอง (ด้วยการลอกคราบ) เพื่อกลายเป็นระยะตัวกลางวัยที่มีขนาดใหญ่ขึ้นต่อไป

    ระยะตัวกลางวัย (nymph) : ตัวอ่อนระยะกลางวัยจะมีรูปร่างเหมือนตัวเต็มวัย (มี 8 ขา) พวกมันจะไต่และเดินทางกลับสู่ร่างกายของสุนัขเพื่อดูดกินเลือดเป็นอาหาร ทั้งนี้มีรายงานว่าเห็บตัวเต็มวัยมีความทนทานในสิ่งแวดล้อมสูง สามารถมีชีวิตรอดอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานถึง 6 เดือนแม้ไม่ได้ดูดเลือดเป็นอาหาร หลังจากนั้นตัวกลางวัยจะกลับลงสู่สิ่งแวดล้อมเพื่อเตรียมตัวลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยต่อไป

    ระยะตัวเต็มวัย (adult) : เห็บระยะตัวกลางวัยเมื่อลอกคราบเป็นตัวเต็มวัยแล้วจะกลับขึ้นสู่ร่างกายของสุนัข เพื่อดูดเลือดเป็นอาหารต่อไป ทั้งนี้มีรายงานว่าเห็บตัวเต็มวัยมีความทนทานในสิ่งแวดล้อมสูง สามารถมีชีวิตรอดอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานถึง 19 เดือนแม้ไม่ได้ดูดเลือดเป็นอาหาร โดยตัวเต็มวัยของเห็บจะมีขา 8 ขา ลำตัวแบน สีน้ำตาลแดง และมีขนาดตัวประมาณ 3 มิลลิเมตร เมื่อเห็บดูดเลือดจนเต็มอิ่มแล้ว เห็บตัวผู้และตัวเมียจะทำการผสมพันธุ์บนตัวสุนัข จากนั้นเห็บตัวเมียจะมองหาที่สำหรับวางไข่ต่อไป

การติดต่อ 

สุนัขสามารถติดเห็บได้ทั้งจากสิ่งแวดล้อมภายนอก และจากสุนัขด้วยกันเอง โดยเห็บมักติดต่อจากสุนัขตัวหนึ่งไปสู่สุนัขอีกตัวผ่านการสัมผัส ซึ่งการติดต่อมักเกิดขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มของสุนัขที่อยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก เลี้ยงแบบปล่อย และไม่ได้รับการป้องกันปรสิตอย่างสม่ำเสมอ โดยเห็บนอกจากจะเป็นต้นเหตุของการเกิดอาการคันในสุนัขแล้ว ยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคพยาธิเม็ดเลือดซึ่งส่งผลให้สุนัขเกิดอาการป่วยและเสียชีวิตได้ 

อาการ

สุนัขที่ติดเห็บมักเกิดอาการคันบริเวณที่โดนกัด และเมื่อเห็บมีการเพิ่มจำนวนมากบนตัวสุนัข สุนัขอาจเกิดภาวะโลหิตจาง ซึ่งจะแสดงออกผ่านทางอาการอ่อนเพลีย เยื่อเมือกซีด อ่อนเพลีย และเหนื่อยง่าย นอกจากนี้ในรายที่ติดโรคพยาธิเม็ดเลือดจากการโดนเห็บกัดยังอาจส่งผลให้เกิดอาการความผิดปกติ เช่น ซึม มีไข้ เบื่ออาหาร เหงือกซีด มีภาวะโลหิตจาง มีจ้ำเลือดที่ผิวหนัง เลือดออกง่าย เลือดหยุดไหลช้า ในรายที่รุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

การรักษา

โรคที่มีสาเหตุมาจากการโดนเห็บกัดที่มีความสำคัญในสุนัข คือ โรคพยาธิเม็ดเลือด โดยโรคนี้สามารถทำการรักษาให้หายได้ จากการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาเพื่อกำจัดเชื้อต้นเหตุของโรค โดยให้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 28 วัน และทำการตรวจติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามโรคนี้เป็นโรคที่สามารถกลับมาเป็นได้ทุกเมื่อหากไม่ได้รับการป้องกันปรสิต เจ้าของจึงควรให้ความสำคัญกับการป้องกันปรสิต และปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลสุขภาพของสุนัขอย่างเคร่งครัด

การป้องกัน

การป้องกันสุนัขจากเห็บในปัจจุบันสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันปรสิตที่มีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์ ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ทางเลือกให้เจ้าของสามารถเลือกใช้ได้หลายชนิดโดยเฉพาะชนิดที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมการป้องกันปรสิตภายนอก (ออกฤทธิ์กำจัดเห็บหมัดไรขี้เรื้อน) และปรสิตภายใน เช่น
พยาธิตัวกลม พยาธิแส้ม้า พยาธิหนอนหัวใจ โดยควรทำร่วมกันกับการดูแลความสะอาดของสิ่งแวดล้อมเพื่อลดโอกาสการสะสมและเพิ่มจำนวนของเห็บในธรรมชาติ ที่สำคัญอย่าลืมพาสุนัขไปพบสัตว์แพทย์เป็นประจำสม่ำเสมอด้วยนะ

หมัด (Fleas)

แหล่งอาศัย : สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะบริเวณที่มีฝุ่นมาก เช่น ใต้โซฟา ใต้พรม ซอกพื้นบ้าน เบาะ ที่นอน รวมถึงพื้นดิน สามารถติดได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด โดยเฉพาะสุนัขและแมว

พบได้ : ตามสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะบริเวณที่มีฝุ่นมาก เช่น ใต้โซฟา ใต้พรม ซอกพื้นบ้าน เบาะ ที่นอน รวมถึงพื้นดิน และบนตัวของสุนัข โดยพบการระบาดมากในสุนัขที่เลี้ยงปล่อย เลี้ยงร่วมกันหลายตัว และไม่ได้รับการป้องกันปรสิตอย่างสม่ำเสมอ โดยจากรายงานพบว่าหมัดที่พบบนตัวสุนัขนับเป็นเพียง 5% ของจำนวนหมัดทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่บริเวณนั้น 

ติดสุนัขโดย : หมัดจะกระโดดจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ตัวสุนัขไปยังบริเวณใกล้เคียง และมักใช้ปากกัดเพื่อดูดเลือดเป็นอาหาร

ผลร้ายกับสุนัข : ก่อให้เกิดอาการคัน ผิวหนังระคายเคือง และเกิดการอักเสบ โดยน้ำลายของหมัดมีโปรตีนซึ่งกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ ส่งผลให้สุนัขเกิดภาวะภูมิแพ้น้ำลายหมัด สุนัขจะแสดงอาการคันมาก ขนร่วง และอาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้ ในบางรายมีหมัดเกาะร่างกายเป็นจำนวนมากเป็นระยะเวลานาน อาจก่อให้เกิดภาวะโลหิตจางได้อีกด้วย นอกจากนี้หมัดยังเป็นพาหะของพยาธิตัวตืดหรือพยาธิตืดแตงกวา ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปัญหาสุขภาพซึ่งส่งผลเสียทำให้สุนัขมีร่างกายที่อ่อนแอ และเพิ่มโอกาสในการป่วยมากยิ่งขึ้น

ข้อมูลทั่วไป  

หมัด คือปรสิตที่สามารถพบได้ในธรรมชาติ มีมากมายหลายชนิด แต่ชนิดที่สามารถพบได้บ่อยในสุนัขคือหมัดสุนัข (dog flea) ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ctenocephalides canis หมัดชนิดนี้เป็นปรสิตที่พบการแพร่ระบาดเป็นอย่างมากในประเทศไทยทั้งในเขตเมืองและเขตต่างจังหวัด อีกทั้งยังสามารถพบได้ทั่วโลก โดยหมัดจัดเป็นแมลงขนาดเล็กที่ไม่มีปีก และสามารถกระโดดได้ไกลเมื่อเทียบกับขนาดตัว ความยาวลำตัวประมาณ 1-2.5 มิลลิเมตร มีลักษณะเฉพาะคือลำตัวแบนจากด้านข้าง มีลำตัวสีน้ำตาลดำหรือสีน้ำตาลแดงดำ ลำตัวมีลักษณะคล้ายข้อปล้อง ปกคลุมด้วยขน ส่วนหัวมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม มีขา 3 คู่ โดยหมัดจะใช้ขาคู่หลังซึ่งมีความยาวที่สุดเป็นอวัยวะหลักในการกระโดด

    วงจรชีวิตของหมัดมีการผลัดเปลี่ยนของถิ่นที่อยู่อาศัยหลายครั้ง โดยจะขึ้นลงระหว่างบนร่างกายของสุนัข และสิ่งแวดล้อมเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปตามแต่ละระยะ โดยวงจรชีวิตของหมัดแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะไข่ ระยะตัวอ่อน ระยะดักแด้ และระยะตัวเต็มวัย

    ระยะไข่ (egg) : ไข่ของหมัดมีลักษณะมันวาว และเกาะติดอยู่กับเส้นขนของสุนัข โดยวงจรชีวิตหมัดจะเริ่มจากการที่แม่หมัดที่โตเต็มวัยจะวางไข่บนเส้นขนของสุนัขภายใน 24-48 ชั่วโมง จากนั้นไข่หมัดจะหล่นลงสู่ภายนอกเพื่อพัฒนาเป็นระยะต่อไป โดยแม่หมัดจะสามารถผลิตไข่ได้มากถึง 40-50 ฟองต่อวัน และต่อเนื่องได้ยาวถึง 100 วัน

    ระยะตัวอ่อน (larva) : หลังจากแม่หมัดวางไข่ประมาณ 1-6 วัน ตัวอ่อนจะฟักออกจากไข่ และกินเศษอินทรียวัตถุเป็นอาหาร จากนั้นจะพัฒนาเข้าสู่ระยะดักแด้ โดยตัวอ่อนของหมัดมักหลบซ่อนอยู่ตามซอกหรือหลืบมุมบ้าน โดยเฉพาะบริเวณที่อับแสงและเย็น เช่น ซอกโซฟา พื้นบ้านหรือพรม และมีพฤติกรรมในการมุดลงดิน จากนั้นจะมีการลอกคราบเพื่อเจริญเติบโตเต็มที่ก่อนเข้าสู่ระยะดักแด้

    ระยะดักแด้ (pupae) : ในระยะนี้ตัวอ่อนจะสร้างเปลือกหรือรังดักแด้ขึ้นมาห่อหุ้มตัวเอง เมื่อมีสิ่งเร้ามากระตุ้น เช่น แรงสั่นสะเทือน แสง หรือแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวอ่อนจะออกจากเปลือกแล้วเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยได้ภายใน 7-14 วัน โดยในระยะนี้ ตัวอ่อนอาจอยู่ในระยะสงบ (ไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับตัวสุนัข) ได้นานหลายเดือนหากไม่มีสิ่งเร้ามากระตุ้น ส่งผลให้การดูแลรักษาความสะอาดของสิ่งแวดล้อมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยป้องกันการติดหมัดได้

    ระยะตัวเต็มวัย (adult) : เมื่อเข้าสู่ระยะตัวเต็มวัย หมัดจะกลับสู่ร่างกายของสุนัขเพื่อดูดเลือดเป็นอาหาร และมีการปล่อยน้ำลายซึ่งมีโปรตีนที่อาจกระตุ้นให้เกิดการแพ้ออกมา ซึ่งระยะนี้ถือเป็นระยะเดียวที่สามารถพบได้บนร่างกายสัตว์ โดยหมัดเพศเมียจะสามารถวางไข่ได้ภายหลังการดูดเลือด 24-48 ชั่วโมง วนเวียนเช่นนี้เป็นวัฏจักรต่อไป

การติดต่อ

สุนัขสามารถติดหมัดได้ทั้งจากสิ่งแวดล้อม และจากสุนัขด้วยกันเอง โดยหมัดมักถ่ายทอดจากสุนัขตัวหนึ่งไปสู่สุนัขอีกตัวผ่านทางการสัมผัส ซึ่งการติดต่อนี้มักเกิดขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มของสุนัขที่อยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก เลี้ยงแบบปล่อย และไม่ได้รับการป้องกันปรสิตอย่างสม่ำเสมอ โดยหมัดนอกจากจะเป็นต้นเหตุของการเกิดอาการคันในสุนัขแล้ว ยังเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะภูมิแพ้น้ำลายหมัดซึ่งถือเป็นโรคทางผิวหนังที่มีความสำคัญ และส่งผลให้สุนัขมีคุณภาพชีวิตที่ลดลงเป็นอย่างมาก

อาการ

สุนัขที่ติดหมัดมักเกิดอาการคันบริเวณที่โดนหมัดกัด และเมื่อหมัดมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นบนตัวสุนัข สุนัขอาจเกิดภาวะโลหิตจาง ซึ่งจะแสดงออกผ่านทางอาการอ่อนเพลีย เยื่อเมือกซีด อ่อนเพลีย และเหนื่อยง่าย นอกจากนี้ในรายที่เกิดภาวะภูมิแพ้น้ำลายหมัดยังอาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติอื่น ๆ เช่น เกิดอาการคันมาก ผิวหนังหนาตัว เป็นขุย อาจพบผิวหนังอักเสบมีตุ่มหนองบริเวณหลังส่วนล่าง โคนหาง หรือขาหลัง นอกจากนี้ยังอาจเกิดแผลซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้อีกด้วย

 

การรักษา

ภาวะความผิดปกติสำคัญ ที่มีสาเหตุมาจากการโดนหมัดกัดในสุนัข คือ ภาวะภูมิแพ้น้ำลายหมัด โดยภาวะนี้สามารถทำการรักษาให้หายขาดได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อลดอาการคัน หรือผลิตภัณฑ์ลดการอักเสบร่วมกันกับการจัดการ และผลิตภัณฑ์ควบคุมหมัดทั้งบนตัวสัตว์ และในสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตามหากพบปัญหาอื่น ๆ แทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์ ควรจัดการการติดเชื้อดังกล่าวร่วมด้วย

การป้องกัน

การป้องกันสุนัขจากหมัดในปัจจุบันสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันปรสิตที่มีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์ โดยควรใช้เป็นประจำสม่ำเสมอตามคำแนะนำ ซึ่งในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ทางเลือกให้เจ้าของสามารถเลือกใช้ได้หลายชนิดโดยเฉพาะชนิดที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมการป้องกันปรสิตภายนอก (ออกฤทธิ์กำจัดเห็บหมัดไรขี้เรื้อน)  และปรสิตภายใน เช่น พยาธิตัวกลม พยาธิแส้ม้า และ พยาธิหนอนหัวใจ โดยควรทำร่วมกันกับการดูแลความสะอาดของสิ่งแวดล้อมเพื่อลดโอกาสการสะสมและเพิ่มจำนวนของหมัดในธรรมชาติ  

ปกป้องน้องให้ครบกว่าทุกการป้องกัน ทั้งเห็บ หมัด ไร พยาธิหนอนหัวใจ และพยาธิร้ายอื่น ๆ ด้วยโปรแกรมป้องกันปรสิตที่ครบกว่าที่สัตวแพทย์แนะนำ

พยาธิหนอนหัวใจ (Heartworm)
 

แหล่งอาศัย : ตัวอ่อนระยะติดต่อจะอยู่ในยุง ส่วนตัวเต็มวัยพบได้ในสุนัข

พบได้ : ตัวเต็มวัยอาศัยอยู่ในหัวใจและหลอดเลือดที่ไปยังปอด

ติดสุนัขโดย : การติดต่อจากสุนัขสู่สุนัข ผ่านการโดนยุงกัด

ผลร้ายกับสุนัข : ทำให้สุนัขมีอาการระบบทางเดินหายใจ และหัวใจ ทำให้หัวใจล้มเหลว และเสียชีวิตได้

ข้อมูลทั่วไป

พยาธิหนอนหัวใจ เป็นพยาธิที่ตัวเต็มวัยอาศัยอยู่ในหัวใจน้องหมาตามชื่อพยาธิ จัดอยู่ในกลุ่มพยาธิ ตัวกลม มีชื่อเรียกว่า (Dirofilaria immitis) ติดต่อกันโดยมียุงเป็นพาหะนำโรค เช่น ยุงลาย ยุงก้นปล่อง ยุงลายเสือ การป้องกันสามารถทำได้โดยใช้ผลิตภัณฑ์กำจัดตัวอ่อน พยาธิหนอนหัวใจมีลักษณะตัวกลม ยาว พยาธิตัวผู้มีความยาว 12-20 เซนติเมตร ในขณะที่ตัวเมียสามารถยาวได้ถึง 30 เซนติเมตร โดยพยาธิเหล่านี้จะอยู่บริเวณหลอดเลือดของปอด และอาจมีบางส่วนอยู่ที่หัวใจห้องล่างขวา 

เมื่อถูกยุงที่เป็นพาหะของโรคกัด น้องหมาจะได้รับตัวอ่อนของพยาธิ และตัวอ่อนเหล่านั้นก็จะไปเจริญเติบโตเป็นพยาธิตัวเต็มวัยต่อไป เราสามารถตรวจโรคได้โดยการใช้ชุดตรวจเลือดหรือใช้วิธีตรวจเลือดจากกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งจะเห็นพยาธิหนอนหัวใจในการตรวจ โดยเราสามารถพบอาการผิดปกติของน้องหมาที่เกิดโรคนี้ได้ เช่น เหนื่อยหอบง่าย ซึม น้ำหนักลด หัวใจล้มเหลว ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ โดยอาจไม่สังเกตเห็นอาการของโรคเป็นระยะเวลานาน แต่ถ้าหากโชคร้าย เจ้าตัวอ่อน ของพยาธิหลงทางไปยังจุดที่ไม่ควรไปอยู่เช่น ตา สมอง หลอดเลือดที่ขา ก็สามารถทำให้เกิดอาการอื่น ๆ ได้ เช่น ชัก ขาอ่อนแรง

 

การติดต่อ

โรคพยาธิหนอนหัวใจเกิดจากพาหะนำโรคคือ ยุง โดยวงจรการติดต่อเริ่มจากยุงตัวเมียกินตัวอ่อนพยาธิหนอนหัวใจจากเลือดสุนัขที่มีพยาธิหนอนหัวใจ จากนั้นตัวอ่อนพยาธิหนอนหัวใจจะพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะแรก และพัฒนาเป็นระยะที่ 3 จะมีการลอกคราบ 2 ครั้งภายในร่างกายยุงโดยใช้เวลาประมาณ 8-30 วัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ เมื่อยุงกัดสัตว์เลี้ยง ยุงจะปล่อยตัวอ่อนของพยาธิหนอนหัวใจระยะที่ 3 ผ่านผิวหนังในบริเวณที่ยุงกัด จากนั้นตัวอ่อนจะเริ่มลอกคราบพัฒนาเป็นตัวอ่อนระยะที่ 4 ในชั้นใต้ผิวหนังและกล้ามเนื้อประมาณ 3 วัน หลังจากนั้นประมาณ 2 เดือน ตัวอ่อนระยะนี้จะเคลื่อนย้ายออกจากชั้นไขมันและกล้ามเนื้อไปเป็นตัวไม่เต็มวัย ซึ่งจะเข้าสู่หลอดเลือดดำตามร่างกาย และไปยังหลอดเลือดที่ปอดและพัฒนากลายเป็นตัวเต็มวัยต่อไป

มนุษย์ไม่ใช่เป้าหมายของพยาธิชนิดนี้ แต่ก็สามารถพบการติดโรคนี้ได้โดยบังเอิญ ซึ่งตามปกติตัวอ่อนของ พยาธิจะไม่สามารถเติบโตหรือดำรงชีวิตอยู่ในเนื้อเยื่อร่างกายของคนได้ และเมื่อตัวอ่อนตาย ร่างกายก็จะ กำจัดให้หมดไปซึ่งอาจมีการอักเสบเล็กน้อย จึงไม่ได้เป็นปัญหาที่น่ากังวล

อาการ

อาการพยาธิหนอนหัวใจสุนัขนั้นอาจแสดงอาการน้อย หรือไม่แสดงอาการใด ๆ เลยได้ หากตัวอ่อนพยาธิหนอนหัวใจในร่างกายยังขยายจำนวนไม่มากนัก กรณีที่มีพยาธิหนอนหัวใจจำนวนปานกลาง สุนัขจะแสดงอาการไอ ไม่อยากออกกำลังกาย ไม่อยากเดินหรือลุกนั่ง ความอยากอาหารลดลง น้ำหนักตัวลดลง เป็นต้น กรณีที่อาการรุนแรงเนื่องจากมีตัวพยาธิอุดตันการไหลเวียนของเลือดที่หัวใจห้องล่างขวารวมทั้งหลอดเลือดดำใหญ่ สุนัขอาจมีภาวะของความผิดปกติของหัวใจอย่างรุนแรง เช่น เลือดไหลย้อนในห้องหัวใจ ลิ้นหัวใจทำงานผิดปกติ หรือกระทั่งไหลเวียนเลือดล้มเหลว

การรักษา

วิธีรักษาสุนัขเป็นพยาธิหนอนหัวใจคือ การกำจัดตัวพยาธิทุกระยะ ทั้งตัวอ่อน หรือพยาธิตัวเต็มวัย โดยทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุดต่อตัวสัตว์ และลดอาการที่เกิดจากการติดพยาธิหนอนหัวใจ สุนัขที่มีอาการทางคลินิกอย่างชัดเจน ควรได้รับการรักษาให้อยู่ในสภาวะคงที่ก่อนที่จะให้ทำการรักษาด้วยผลิตภัณฑ์กำจัดพยาธิตัวเต็มวัย โดยอาจให้ผลิตภัณฑ์สเตียรอยด์ ผลิตภัณฑ์ขับน้ำ ผลิตภัณฑ์เพิ่มการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ 

ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการกำจัดตัวอ่อน และตัวเต็มวัยพยาธิหนอนหัวใจนั้นมีอยู่หลายชนิด มีทั้งชนิดแบบกิน ฉีดและแบบหยดลงผิวหนัง โดยสัตวแพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมของสุนัขแต่ละสายพันธุ์ อายุ และการดูแล โดยสิ่งสำคัญของการรักษาคือการพาสุนัขมารับผลิตภัณฑ์ป้องกันปรสิตอย่างต่อเนื่องทุกเดือนตามที่สัตวแพทย์ใกล้บ้านแนะนำ เพราะการรักษาอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้การรักษาโรคพยาธิหนอนหัวใจประสบความสำเร็จ

สิ่งที่สำคัญคือในกรณีที่น้องหมาติดพยาธิหนอนหัวใจในปริมาณมาก จะส่งผลให้เกิดภาวะพยาธิตัวเต็มวัยอุดตัน หรือ caval syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดแบบเฉียบพลัน และส่งผลให้เสียชีวิตได้ภายใน 2 วัน หากไม่ได้รับการรักษาโดยการนำพยาธิออกมาจากห้องหัวใจได้เลย ซึ่งหากตรวจพบว่าน้องหมาของเราอยู่ในขั้นนี้แล้ว ควรรีบพบสัตวแพทย์เพื่อทำการักษาอย่างเร่งด่วนทันที 

การป้องกัน

แม้ว่าโรคพยาธิหนอนหัวใจจะเป็นโรคที่น่ากลัวและร้ายแรงจนถึงขั้นทำให้น้องหมาเสียชีวิตได้ แต่ก็ไม่ต้องกลัวไปเพราะการป้องกันพยาธิหนอนหัวใจนั้นทำได้ง่ายมาก เพียงแค่ป้องกันพยาธิหนอนหัวใจตามที่สัตวแพทย์แนะนำเป็นประจำทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับการป้องกันปรสิตภายนอกเห็บ หมัดสุนัข ไรขี้เรื้อนเปียก ไรขี้เรื้อนแห้ง และไรหู  และการป้องกันปรสิตภายในอื่นๆ เช่น พยาธิตา พยาธิปากขอ เพื่อการป้องกันที่ครบกว่าทุกการป้องกัน เพียงเท่านี้ก็สามารถป้องกันโรคพยาธิหนอนหัวใจได้แล้ว หมดห่วงว่าน้องหมาของเราจะมีพยาธิหนอนหัวใจได้เลย

 

ปกป้องน้องให้ครบกว่าทุกการป้องกัน ทั้งเห็บ หมัด ไร พยาธิหนอนหัวใจ และพยาธิร้ายอื่น ๆ ด้วยโปรแกรมป้องกันปรสิตที่ครบกว่าที่สัตวแพทย์แนะนำ

ไรขี้เรื้อนแห้ง (Sarcoptic Mange Mites)

แหล่งอาศัย : อาศัยอยู่บนผิวหนังของสุนัข

พบได้: บริเวณผิวหนังสุนัข

ติดสุนัขโดย : การติดจากสุนัขตัวอื่นที่เป็นโรคนี้

ผลร้ายกับสุนัขและเจ้าของ : ทำให้สุนัขคัน มีสะเก็ด ขนร่วง และยังสามารถติดสู่คนได้

ข้อมูลทั่วไป

ไรขี้เรื้อนแห้ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sarcoptes scabiei ตัวไรชนิดนี้มีขนาดเล็ก เป็นสาเหตุให้เกิดอาการคัน ขนร่วง มีสะเก็ดรังแค ที่สำคัญคือสามารถเกิดได้กับน้องหมาทุกช่วงอายุ ทุกสายพันธุ์ และทุกฤดูกาล  โดยไรขี้เรื้อนแห้งนั้นจะขุดผิวหนังชั้นนอก (superficial) เป็นโพรงเพื่อสืบพันธุ์วางไข่ และกินเศษผิวหนังเป็นอาหาร โดยมักพบได้บ่อยในบริเวณที่มีขนน้อย เช่น ตามขอบใบหู ใต้ท้อง ข้อศอกและข้อเท้าของขาหลังด้านนอก นอกจากนี้ยังพบว่าโรคไรขี้เรื้อนแห้งในสุนัขถือเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยก่อให้เกิดโรคหิดในคน 

ไรขี้เรื้อนแห้งจัดอยู่ในกลุ่มแมลงที่เป็นปรสิตภายนอกขนาดเล็ก เช่นเดียวกับไรขี้เรื้อนเปียก แต่ตัวเต็มวัยจะมีลักษณะเป็นทรงกลม ไม่มีตา มีขาสี่คู่ ไรขี้เรื้อนแห้งเพศเมียมีขนาดเล็กมาก ประมาณ 0.25-0.35 มิลลิเมตรเท่านั้น เพศผู้มีขนาดประมาณ 2 ใน 3 ของเพศเมีย ซึ่งสามารถมองเห็นผ่านทางกล้องจุลทรรศน์ โดยไรขี้เรื้อนแห้งจะอยู่ในโพรงใต้ผิวหนัง และทำ การวางไข่ในนี้อีกด้วย ไข่ของไรขี้เรื้อนจะฟักออกมาโดยใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ และไรที่ฟักออกมาก็จะกินเซลล์ผิวหนัง และของเหลวต่าง ๆ จากตัวน้องหมา

การติดต่อ

การติดต่อมักเกิดขึ้นโดยการสัมผัสกันของน้องหมาที่มีไรขี้เรื้อน และไม่ได้ป้องกันไรหมาเป็นประจำ โดยไรขี้เรื้อนจะหาบริเวณ ผิวหนังที่บาง เพื่อง่ายในการขุดโพรงผิวหนัง ซึ่งมักจะเป็นบริเวณขอบใบหู เท้า ข้อเท้า และข้อศอก ปัญหา ของไรขี้เรื้อนแห้งก็คือ การทำให้เกิดการคันอย่างรุนแรง ซึ่งในบางช่วงจะคันมากขึ้นเป็นพิเศษ ประกอบกับทำให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อน เช่น เชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์ หากเป็นโรคนี้นานอาจทำให้ผิวหนังหนาขึ้นอีกด้วย สิ่งสำคัญคือหากทำการป้องกันหรือรักษาจะต้องทำพร้อมกันทุกตัวในบ้าน

โดยสุนัขที่มีพฤติกรรมชอบลุยพื้นหญ้า ชอบออกไปเที่ยวนอกบ้าน หรือมีโอกาสพบปะกับน้องหมาตัวอื่น ๆ โดยเฉพาะสุนัขจรจัด จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการติดไรขี้เรื้อนแห้งมากกว่าปกติ ดังนั้นจึงต้องระวังตรงจุดนี้ไว้ด้วยนะ

อาการ

    สุนัขที่เป็นโรคไรขี้เรื้อนแห้งจะแสดงอาการคันตามตัว อาการคันจะเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งขนร่วงและเริ่มพัฒนาเป็นสะเก็ดแผลหนาตามมา โดยรอยโรคที่สามารถพบสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ

1.ระยะเฉียบพลันมาก รอยโรคจะคล้ายคลึงอาการแพ้ที่ผิวหนัง

2.ระยะเฉียบพลัน จะพบลักษณะของผื่นราบสลับนูนแดงปะทุขึ้นมา ซึ่งเป็นผลให้เกิดสะเก็ดเลือดบนผิวหนัง และทำให้ขนร่วงตามมา

  1. ระยะเรื้อรัง จะพบว่าผิวหนังหนาขึ้น และมีสีเข้มขึ้นกระจายทั่วบริเวณรอยโรค และพบการหนาตัวเป็นปื้น ๆ บริเวณศอกและข้อเท้า

นอกจากนี้สุนัขบางตัวอาจไม่พบการพัฒนาความผิดปกติที่ผิวหนังถึงแม้ว่าจะมีอาการคันมากก็ตาม ในขณะที่สุนัขที่มีปัญหาอื่นร่วมด้วย เช่น ปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน จะพบรอยโรคขยายกว้างแต่มักมีอาการคันค่อนข้างน้อย

การรักษา

    ก่อนการรักษา สัตวแพทย์ต้องวินิจฉัยยืนยันก่อนว่าน้องหมาเป็นโรคขี้เรื้อนแห้งจริง โดยแนวทางการวินิจฉัยสามารถทำการวินิจฉัยได้โดยการขูดตรวจผิวหนังเพื่อตรวจหาตัวไร ไข่ หรือมูลของไร โดยขูดผิวหนังชั้นนอกจากนั้นนำไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อหาตัวไรขี้เรื้อนแห้ง 

นอกจากนี้ยังสามารถวินิจฉัยได้จากหลักฐานอื่น ๆ เช่น ประวัติ อาการ และการทดสอบ pinnal-pedal response ( อาการคันที่ควบคุมไม่ได้ เกาบริเวณสะโพกเมื่อมีการเกาที่ใบหู) โดยสุนัขที่เป็นไรขี้เรื้อนแห้งจะให้ผลบวกต่อการทดสอบนี้ นอกจากนี้อาการที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการรักษาไรก็เป็นตัวบ่งชี้ได้เช่นกัน

ส่วนแนวทางการรักษาสุนัขที่เป็นโรคไรขี้เรื้อนเปียกที่มีอาการแบบทั่วร่าง สามารถทำได้โดยการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อไปควบคุมจำนวนไรขี้เรื้อนเปียกให้กลับมาอยู่ในสภาวะที่พบในสุนัขปกติ หรือลดลงมาในจำนวนที่ร่างกายสามารถควบคุมได้ โดยผลิตภัณฑ์รักษาทางระบบ (Systemic therapy) ที่สามารถใช้จัดการกับไรขี้เรื้อนเปียก

โดยทั่วไปแล้ว การรักษาโรคขี้เรื้อนแห้งทางระบบรวมถึงผลิตภัณฑ์ในรูปแบบหยดหลังนั้นพบว่าให้ประสิทธิภาพดีกว่าการใช้เพียงผลิตภัณฑ์เฉพาะที่ โดยในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์รักษาแบบหยดเพื่อรักษาไรขี้เรื้อนแห้งหลายชนิด โดยสัตวแพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสม

นอกจากนี้ ในการรักษาโรคไรขี้เรื้อนแห้งหากพบการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังร่วมด้วย ควรทำการรักษาร่วมกับการใช้แชมพูที่มีฤทธิ์กำจัดเชื้อแบคทีเรียหรือแชมพูสุนัขที่มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของต่อมไขมัน เพื่อช่วยขจัดผิวหนังที่เป็นรังแค และคราบได้ง่ายขึ้น อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะแบบกินในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียทั่วร่าง 

 

การป้องกัน

    โรคไรขี้เรื้อนแห้งเป็นโรคอันตรายสำหรับน้องหมา แต่สามารถป้องกันได้ง่ายมาก เพียงแค่เจ้าของสุนัขเลือกใช้โปรแกรมป้องกันปรสิตที่ครบกว่าที่ครอบคลุม ทั้ง การกำจัดเห็บ หมัดสุนัข ไรขี้เรื้อนเปียก ไรขี้เรื้อนแห้ง พยาธิหนอนหัวใจ และพยาธิร้ายอื่นๆ เช่น พยาธิปากขอ พยาธิแส้ม้า เป็นประจำทุกเดือนตามที่สัตวแพทย์แนะนำ และพาไปพบสัตวแพทย์เป็นประจำสม่ำเสมอใกล้บ้าน เพื่อปรึกษาหารือร่วมกัน นอกจากนี้การดูแลสุนัขให้มีสุขภาพดีแข็งแรง ให้อาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรักษาความสะอาด โดยเฉพาะไม่ปล่อยให้ตัวสุนัขสกปรกหรืออับชื้นเป็นระยะเวลานานๆ จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคไรขี้เรื้อนแห้งได้

ปกป้องน้องให้ครบกว่าทุกการป้องกัน ทั้งเห็บ หมัด ไร พยาธิหนอนหัวใจ และพยาธิร้ายอื่น ๆ ด้วยโปรแกรมป้องกันปรสิตที่ครบกว่าที่สัตวแพทย์แนะนำ

ปรสิตในแมว ศัตรูตัวร้ายของเจ้าเหมียว
หมัด ปรสิตเล็กแต่ร้าย ที่ทำลายน้องแมวถึงชีวิต

แหล่งอาศัย :หมัดเป็นปรสิตในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลากหลายชนิด
พบได้ :สามารถพบได้บนผิวหนัง และในสิ่งแวดล้อม
ติดแมวโดย :น้องแมวสามารถติดหมัดได้จากสิ่งแวดล้อมโดยตรงหรือติดมาจากการคลุกคลีกับสัตว์ที่มีหมัด
ผลร้าย :หากได้รับการติดเชื้อหมัดในปริมาณมาก โดยเฉพาะแมวเด็กอาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต และโรคที่ติดต่อสู่คนได้อีกด้วย

หมัดคืออะไร?

      หมัดแมว (Ctenocephalides felis) เป็นปรสิตภายนอกที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยจะสามารถเห็นเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ๆ วิ่งเร็วๆ หรือกระโดดบนผิวหนังได้ มี 6 ขา สีน้ำตาลเข้ม มีขนาดอยู่ที่ตั้งแต่หัวเข็มหมุด ไปจนถึง 3 มิลลิเมตร และลำตัวแบน ที่ดูดเลือดบนตัวน้องแมว และหมัดยังเป็นพาหะของโรคหลายโรคที่มีอาการร้ายแรงในแมว รวมไปถึงโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนอีกด้วย

น้องแมวและคนเสี่ยงติดหมัดง่ายแค่ไหน!?

      เราพบหมัดได้ตลอดทั้งปี เพราะหมัดชอบอาศัยอยู่ในพี้นที่ชื้นและอบอุ่นอย่างประเทศไทยนั่นเอง น้องแมวที่เลี้ยงแบบระบบเปิดจะเสี่ยงกว่าระบบปิด แต่น้องแมวที่มีไลฟ์สไตล์ชอบเที่ยวนอกบ้าน จะมีความเสี่ยงสูงที่สุด

การติดต่อระหว่างหมัดสู่แมวและคน

        หมัดจะมาจากสิ่งแวดล้อมและการคลุกคลีกับสัตว์ที่มีหมัด ซึ่งหมัดร้ายมากตรงที่กระโดดได้ไกลถึง 7 ฟุต ไม่แปลกใจเลยที่น้องแมวจะได้รับหมัดมาเกาะตัว โดยหมัดตัวเมียใช้เวลาเพียง 1-2 วัน ก็สามารถวางไข่ได้ถึง 50 ฟองแล้ว จึงไม่แปลกที่หมัดแพร่พันธุ์ได้เร็วและเกิดขึ้นเป็นจำนวนเยอะ และหมัดแมวสามารถกัดคนได้เหมือนกัน อีกทั้งยังเป็นพาหะของโรคที่ติดต่อสู่คนได้ เช่น โรคพยาธิตืด และโรคแมวข่วน (Cat scratch disease)

อาการที่น้องแมวติดหมัด

       น้องแมวจะมีอาการคัน ระคายเคืองที่ผิวหนัง และหากน้องแมวติดหมัดในปริมาณมากก็อาจส่งผลให้โลหิตจางจนถึงแก่ชีวิตได้ อีกทั้งในกรณีที่ร่างกายน้องแมวแพ้น้ำลายหมัด (flea allergy dermatitis) อาการจะชัดเจน ผิวหนังเป็นผื่นแดงและคันมาก จนน้องแมวอาจจะเกาจนขนร่วงโดยเฉพาะบริเวณท้ายลำตัว และเป็นผิวหนังอักเสบในวงกว้างได้ นอกจากนี้ที่สำคัญคือหมัดยังสามารถเป็นพาหะของโรคต่าง ๆ เช่น โรคพยาธิตืด และโรคแมวข่วน

การรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดหมัด

       การกำจัดหมัดสามารถทำควบคู่กันไปทั้งจัดการสิ่งแวดล้อมที่อยู่ เช่นการดูดฝุ่น ซักล้างผ้าปู หรืออุปกรณ์ที่น้องแมวใช้ประจำ และที่ตัวน้องแมวโดยการใช้โปรแกรมที่สามารถกำจัดหมัดได้อย่างเป็นประจำทุกเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันมีโปรแกรมที่ครบทุกการปกป้องเพื่อน้องแมวโดยเฉพาะ ก็จะช่วยปกป้องน้องแมวจากปรสิตอย่างครอบคลุมในขั้นตอนเดียวได้ เพื่อไม่ให้มีหมัดวางไข่ต่อไป และที่สำคัญหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงที่อาจมีหมัด เช่น พื้นที่สวน หรือพื้นที่ที่มีการรวมตัวของสัตว์มาก ๆ 

        ทั้งนี้เจ้าของสามารถขอคำปรึกษาจากคุณหมอเพิ่มเติม สอบถามการป้องกันปรสิตทั้งภายนอกและภายในด้วยโปรแกรมใหม่ครบทุกการปกป้อง เพื่อน้องแมวโดยเฉพาะ ได้ที่โรงพยาบาลสัตว์ หรือคลินิกใกล้บ้าน อยากเห็นน้องแมวสุขภาพดี และอยู่กับเจ้าของอย่างมีความสุข

ปรสิตในแมว ศัตรูตัวร้ายของเจ้าเหมียว
อันตรายกว่าที่คิด! เห็บเป็นมากกว่าปรสิตดูดเลือด!

แหล่งอาศัย :เห็บเป็นปรสิตในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลากหลายชนิด
พบได้ :สามารถพบได้บนผิวหนัง และในสิ่งแวดล้อม
ติดแมวโดย :น้องแมวสามารถติดเห็บได้จากสิ่งแวดล้อมโดยตรงหรือติดมาจากการคลุกคลีกับสัตว์ที่มีเห็บ
ผลร้าย :หากได้รับการติดเชื้อเห็บในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต และโรคที่ติดต่อสู่คนได้อีกด้วย

เห็บร้ายกว่าที่คุณคิด

เห็บ (Tick) เป็นสัตว์ปรสิตจำพวกแมงชนิดหนึ่งที่ร้ายและไม่ควรมองข้าม พบมากในสุนัขมากกว่าแมว ซึ่งเห็บมีแปดขาเมื่ออยู่ในระยะโตเต็มวัย มีขนาดหลากหลายสายพันธุ์ โดยเห็บจำเป็นต้องอาศัยกัดกินเลือดจากโฮสต์หรือน้องแมวนั่นเอง ซึ่งเห็บติดได้ง่ายในหมู่แมว และเป็นพาหะของโรคมาสู่คนได้

สิ่งแวดล้อมแบบไหนเสี่ยงต่อการติดเห็บ

เห็บจะชอบอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและมีความชื้น และระบาดหนักในช่วงหน้าฝน ไม่ว่าจะเลี้ยงพื้นที่เปิดหรือปิด ก็เสี่ยงต่อการติดเห็บได้ง่าย ยิ่งน้องแมวที่ไลฟ์สไตล์ชอบเที่ยวนอกบ้าน หรือใช้ชีวิตส่วนใหญ่นอกบ้านจะมีความเสี่ยงสูงกว่าน้องแมวที่ถูกเลี้ยงในบ้าน

เห็บติดง่ายและเป็นพาหะสู่คนได้

น้องแมวติดเห็บได้ง่ายจากการเจอสิ่งแวดล้อมหรือจากการคลุกคลีกับสัตว์อื่นที่มีเห็บ ซึ่งเห็บไม่สามารถบินหรือกระโดดได้ ดังนั้นเห็บจะสามารถขึ้นตัวน้องแมวได้โดยการไต่ขึ้นตัวเท่านั้น ซึ่งเห็บเก่งกาจกว่าที่คิด โดยจะยืนรออยู่ที่ยอดหญ้า รอจังหวะกระโดดเกาะเมื่อสัตว์เดินผ่าน เพื่อดูดเลือดของน้องแมว และน่ากลัวไปกว่านั้นคือ เห็บสามารถกัดคนได้ อีกทั้งเห็บบางชนิดยังเป็นพาหะของโรคสัตว์สู่คนได้อีกด้วย

อาการน้องแมวเมื่อติดเห็บ

เห็บสามารถมองเห็นได้ตาเปล่า โดยพบมากบริเวณหนังที่บางและมีขนน้อย เช่น ใบหน้า หู รักแร้ ซอกนิ้ว ขาหนีบ และรอบก้น ซึ่งอาการน้องแมวจะคัน ระคายเคืองผิวหนัง ภาวะเลือดจาง ไปจนถึงการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนบนผิวหนังได้ อีกทั้งเห็บยังเป็นพาหะของโรคที่ร้ายแรง ที่อาจทำให้น้องแมวเสียชีวิตได้

การรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดเห็บ

เมื่อพบว่าน้องแมวมีอาการคัน เกาตัว ขนเริ่มร่วง แนะนำให้เจ้าของพาน้องมาพบสัตวแพทย์เพื่อทำการรักษา และควรใช้โปรแกรมที่ครบทุกการปกป้องเพื่อน้องแมวโดยเฉพาะ ที่มีคุณสมบัติฆ่าปรสิตจำพวกเห็บได้เป็นประจำสม่ำเสมอทุกเดือน และจะต้องเป็นโปรแกรมได้รับการรับรองด้วยว่าสามารถใช้ในน้องแมวได้เช่นกัน

ซึ่งแนะนำให้ป้องกันสมาชิกแมวทุกตัวภายในบ้าน รวมถึงพยายามหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงที่อาจมีเห็บ เช่น พื้นที่สวน หรือพื้นที่ที่มีการรวมตัวของสัตว์มาก ๆ เพื่อลดการติดเห็บและเป็นพาหะมาสู่เราได้ เพื่อให้เราและน้องแมวอยู่รวมกันอย่างมีความสุข หรือ สอบถามการป้องกันปรสิตทั้งภายนอกและภายในด้วยโปรแกรมใหม่ครบทุกการปกป้อง เพื่อน้องแมวโดยเฉพาะ ได้ที่โรงพยาบาลสัตว์ หรือคลินิกใกล้บ้านได้เลย

คลินิกอายุรกรรมทั่วไป

      คลินิกหมอนันท์สัตวแพทย์ เราให้บริการตรวจสุขภาพทั่วไป ตรวจรักษาโรคเรื้อรัง ฉีดวัคซีน รวมถึงป้องกันเห็บหมัด ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน

การรักษา

  • ตรวจรักษาโรคอายุรกรรม
  • ฉีดวัคซีน
  • ถ่ายพยาธิ
  • ป้องกันเห็บหมัด พยาธิหนอนหัวใจ
  • อื่นๆ

     *  หากสัตว์เลี้ยงของคุณแสดงอาการผิดปกติ เช่น ดื่มน้ำมาก ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรม อย่าลังเลที่จะติดต่อเราเพื่อรับคำปรึกษาและการตรวจวินิจฉัย การตรวจพบและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการโรคเรื้อรังอย่างมีประสิทธิภาพ

นัดหมาย Line@NUNVET Tel:095-789-8287
Booking Online

บริการ และเครื่องมือ

  • เครื่องตรวจเลือด
  • เครื่องดมยาสลบ พร้อมเครื่องช่วยหายใจ
  • เครื่องมืออื่นๆ
location Map Click..
Contact Us | ปรึกษา NUNVET